|
เจ้าของ/ผู้พิมพ์
|
กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
|
|
เจ้าของลิขสิทธิ์
|
กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
|
|
ชนิดของเอกสาร |
บทคัดย่อ
|
|
วิจัย
|
การแพทย์แผนไทย
|
|
ประเภทของงานวิจัย |
วิทยาศาสตร์
|
|
23
|
|
0
|
|
คำสำคัญของงานวิจัย
|
|
|
บทคัดย่อ/สาระสำคัญ
|
จากการวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผล ความปลอดภัยและผลข้างเคียงของยาแคปซูลสารสกัดต ารับเบญจกูลขนาด 300 มิลลิกรัมต่อวัน กับยาลอราทาดีนในการรักษาอาการเยื่อบุจมูกอักเสบจากการแพ้ของผู้ป่วยกลุ่มเล็ก รูปแบบงานวิจัยเป็นการวิจัยทางคลินิกระยะที่ 2 (Clinical Trial Phase II) แบบปกปิดทั้งผู้ป่วยและผู้วิจัย (double-blined randomized control trial) ท าการศึกษาคัดเลือก คัดกรองอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการวิจัย ผู้ป่วยเพศชายและหญิงอายุตั้งแต่ 20 – 70 ปี จ านวน 50 คน จะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยการสุ่ม กลุ่มละ 25 คน โดยกลุ่มที่ 1 จะได้รับยาเบญจกูล โดยการรับประทาน ครั้งละ 100 mg หรือ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง(เช้า-กลางวัน-เย็น) และกลุ่มที่ 2 ประกอบด้วยผู้ป่วยจ านวน 25 คน คน จะได้รับยา Loratadine โดยการรับประทานตามข้อบ่งใช้ในการรักษาสากล ครั้งละ 10 mg วันละ 1 ครั้ง อาสาสมัคร ได้รับการรักษาโดยการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 สัปดาห์ โดยท าการประเมินและเก็บตัวอย่างเลือดและปัสสาวะก่อนการได้รับยา หลังจากนั้นติดตามอาการเมื่อครบ 21 และ 42 วัน (สัปดาห์ที่ 3 และ 6) ประเมินผลโดยการวัดระดับอาการทางจมูก อาการอื่นๆนอกเหนือจากอาการทางจมูก และการประเมินคุณภาพชีวิต นอกจากนี้มีการใช้เครื่องมือ Acoustic Rhinometry เพื่อใช้ในการประเมินอาการคัดจมูก โดย
ประเมินจากพื้นที่หน้าตัดที่แคบที่สุดของโพรงจมูก (MCA) การตรวจทางห้องปฏิบัติการจะนำผลทั้งหมดไปวิเคราะห์ทางสถิติผลการศึกษาพบว่า ฤทธิ์ต้านการแพ้จากการยับยั้งเอ็นไซม์ β-hexosaminidase ในเซลล์ RBL-2H3 (rat basophilic leukemia) ของสกัดตำรับยาเบญจกูลชั้น 95% เอทานอล พบว่า สารสกัดเบญจกูลมีฤทธิ์ต้านการแพ้ไม่แตกต่างกับยา Chlorpheniramine ที่เป็นยาต้านฮิสตามีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยต ารับยาเบญจกูล มีค่าIC50 เท่ากับ 12.01 ± 1.11 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร และ Chlorpheniramine มีค่า IC50 เท่ากับ 13.7 ± 1.80 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร จากการศึกษาวิจัยทางคลินิกในกลุ่มอาสาสมัครจ านวน 50 คน พบว่าการรับประทานยาต่อเนื่องเป็นเวลา 6 สัปดาห์ ยาเบญจกูล สามารถลดอาการ น้ ามูกไหล คันจมูก คัดจมูก จาม ไม่แตกต่างกับยา Loratadine และเมื่อตรวจโพรงจมูกด้วยเครื่อง Acoustic Rhinometry พบว่า ค่าพื้นที่หน้าตัดจมูกที่
แคบที่สุด ของการรักษาโดยยาเบญจกูลไม่มีความแตกต่างจากการรักษาโดยใช้ยาลอราทาดีน และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาเบญจกูลไม่มีความแตกต่างจากการรักษาด้วยยาลอราทาดีน เมื่อติดตามผลด้านความปลอดภัย สภาวะการทำงานของตับ (AST, ALT, Alkaline Phosphatase, Total protein, Albumin,Globulin, Bilirubin , Direct bilirubin,) การท างานของไต (BUN, Creatinine) ค่าความสมบูรณ์ของเลือด (WBC , Neutrophil , Lymphocyte , Monocyte , Eosinophil , Basophil , RBC count , Hb , Hct ,MCV , MCH , MCHC , RDW , Platelests count) ค่าระดับน้ าตาลในเลือด (Glucose ), และระดับไขมันในเลือด (HDL , Total Choleserol , LDL-Cholesterol , Triglyceride) ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของค่าต่าง ๆ จากผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ที่บ่งบอกถึงความรุนแรงหลังการับประทานยาเบญจกูลและยาลอราทาดีนต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์
|
|
วันเดือนปีที่พิมพ์
|
|
|
ที่อยู่ผู้พิมพ์
|
|
|
Call number/ISBN
|
|
|
ภาษาที่ใช้
|
|
|
|